ตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปี 67 ภาพรวมซบเซา แต่ HEV และ EV โตแรงสวนกระแสตลาด

ตลาดยานยนต์ไทยครึ่งปีแรก 2567 เผชิญหน้ากับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยยอดขายรถยนต์รวมและรถจักรยานยนต์รวมลดลง 24.16% และ 10.41% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความซบเซาของตลาดรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กลับพบสัญญาณบวกที่น่าจับตาจากการเติบโตอย่างโดดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด (HEV) ซึ่งสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานทางเลือก

ตลาดรถยนต์ไทยครึ่งปี 67 ภาพรวมซบเซา แต่ HEV และ EV โตแรงสวนกระแสตลาด

ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (FTI) เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในตลาดยานยนต์ไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (มกราคม - มิถุนายน) โดยภาพรวมตลาดรถยนต์หดตัวลง 24.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมียอดจำหน่ายรถยนต์รวมลดลง 24.16% คิดเป็นจำนวน 308,027 คัน ขณะที่ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์รวมลดลง 10.41% คิดเป็นจำนวน 890,534 คัน ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่, ปัญหาหนี้ครัวเรือน, และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อรถยนต์

รถยนต์นั่ง การเติบโตอย่างโดดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด

ตลาดรถยนต์นั่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจรถยนต์พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) มียอดขายลดลง 36.45% ขณะที่รถยนต์นั่งไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) มียอดขายเพิ่มขึ้น 6.91% และ 69.64% ตามลำดับ ตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมอย่าง BYD Atto 3 และ ORA Good Cat ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมาก ขณะที่รถยนต์ไฮบริดอย่าง Toyota Yaris Ativ และ Honda City e:HEV ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

รถกระบะและ PPV ตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบ

ตลาดรถกระบะ (Pickup) และรถ PPV ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถยนต์ในประเทศไทย ก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเช่นกัน โดยมียอดขายลดลง 40.15% และ 43.32% ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากความต้องการรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ที่ลดลง และการชะลอตัวของภาคธุรกิจ

รถจักรยานยนต์ ก้าวแรกสู่ยุคไฟฟ้า

ตลาดรถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งมียอดขายลดลง 10.33% อย่างไรก็ตาม รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น แม้ว่ายอดขายจะยังมีจำนวนน้อย แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในตลาดได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น

ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2567 การปรับตัวท่ามกลางความท้าทาย

ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการผลิตในปี 2567 สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ปรับลดประมาณการผลิตรถยนต์ลง 10.53% จากเดิม 1.9 ล้านคัน เหลือ 1.7 ล้านคัน โดยการผลิตเพื่อส่งออกยังคงเป้าหมายเดิมที่ 1.15 ล้านคัน แต่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 26.67% เหลือเพียง 550,000 คัน สาเหตุหลักมาจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ลดลง และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ

ในขณะที่ตลาดรถยนต์กำลังเผชิญกับความผันผวน ประมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ยังคงที่ 2.12 ล้านคัน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายทั้งการผลิตเพื่อส่งออกและการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าตลาดรถจักรยานยนต์มีความยืดหยุ่นต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่าตลาดรถยนต์

การปรับลดเป้าหมายการผลิตครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่อาจช่วยพยุงสถานการณ์ได้ เช่น การเติบโตของตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

ในระยะยาว อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในอนาคต

ความหวังท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ผันผวนและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน แม้ภาครัฐพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และคาดการณ์ว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบาย แต่ก็ยังคงมีปัจจัยลบที่น่ากังวล

ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP ประเทศ ประกอบกับรายได้ครัวเรือนที่ยังคงต่ำจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ ทำให้กำลังซื้อภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศและดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงต่อเนื่องหลายเดือนส่งผลให้คนงานมีรายได้ลดลง และประชาชนระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น สถาบันการเงินก็เข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะ ซึ่งเป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนแรงงานวัยทำงานที่ลดลงเนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ อาจทำให้นักลงทุนลังเลในการลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสังคมสูงวัยที่มีอัตราการบริโภคต่ำ นอกจากนี้ หน่วยงานเศรษฐกิจหลายแห่งยังปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยลงอีกด้วย

โอกาสในการเติบโต

แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกที่พอจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและการส่งออกที่ยังคงเติบโต ซึ่งจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตได้มากขึ้น และคนงานมีรายได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังว่าการลงทุนจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการเดินทางไปชักชวนนักลงทุนรายใหญ่ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และหนี้ครัวเรือนลดลง

นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยตาม ภาระของลูกหนี้อาจลดลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชน อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ไม่ขยายตัวหรือเพิ่มขึ้นในแห่งอื่นๆ ของโลก จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วน

การปรับตัวเพื่อความยั่งยืน

เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสจากปัจจัยบวก อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง นอกจากนี้ การเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยอัตรา 1:1 ของรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้ามาจำหน่ายในปี 2565-2566 ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

สรุป ภาพรวมตลาดยานยนต์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในกำลังเผชิญกับความท้าทาย ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของพลังงานทางเลือกอย่างเต็มตัว

อ่านข่าวต้นฉบับ:

อมรินทร์ทีวี ทันข่าวได้ที่

เว็บไซต์:www.amarintv.com

เรื่องธุรกิจที่ :ติดตาม SPOTLIGHT มองขาดทุกโอกาสธุรกิจ

2024-07-25T08:00:24Z dg43tfdfdgfd