คอนติเนนทอล จัดงานโชว์เคสไลน์อัพนวัตกรรมยานยนต์ และยางรถยนต์แบบครบวงจร

Continental คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก และคอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ผนึกกำลังจัดงานโชว์เคสนวัตกรรม ในคอนเซ็ปต์ “Continental Drives Future Mobility with Confidence” ชูศักยภาพขององค์กรในการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สู่โลกแห่งอนาคต นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรสำหรับยานยนต์ทุกประเภท ที่ถูกพัฒนาบนมาตรฐานด้านความปลอดภัยและความยั่งยืน 

มร. ปีเตอร์ รางเคิล ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก กล่าวถึงธุรกิจในกลุ่มออโตโมทีฟ ว่า “คอนติเนนทอล ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์ระดับโลก มีความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ที่มุ่งเน้นมอบความปลอดภัย ยกระดับประสบการณ์ผู้ขับขี่ และผลักดันการขับเคลื่อนอัตโนมัติ และเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในทุกขณะ ซึ่งอีกเทรนด์มาแรงคู่กับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง เทรนด์ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Mobility) ก็จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความเติบโตให้กับตลาดยานยนต์ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน ทั้งนี้ คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ ได้ดำเนินการพัฒนาโซลูชั่นด้านยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายในการยกระดับความสะดวกสบาย และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอระบบให้ความช่วยเหลือและควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ (Assisted & Automated Driving Control Unit: ADCU) แพลตฟอร์มประมวลผลอเนกประสงค์ที่มีความปลอดภัยสูงและเชื่อถือได้ เหมาะสำหรับระบบการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง (Highly Automated Driving: HAD) โดย ADCD จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งผนวกเข้ากับเทคโนโลยีการจอดรถอัจฉริยะ (Auto-Parking) ตัวช่วยอำนวยความสะดวกในการหาที่จอดรถ สามารถนำรถเข้าจอดได้อย่างปลอดภัยในทุกพื้นที นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญในการพัฒนาโซลูชั่นด้านสถาปัตยกรรมและเครือข่ายสำหรับยานยนต์ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีค็อกพิทอัจฉริยะ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing: HPC) ช่วยในการเชื่อมต่อฟังก์ชันการทำงานภายในรถยนต์ตั้งแต่ความบันเทิงไปจนถึงความปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่องเป็นต้น

ด้าน มร. คาเรล คูเซรา กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึงธุรกิจในกลุ่มยางรถยนต์ว่า ภาพรวมของตลาดยางรถยนต์ยังคงเติบโตเป็นไปตามเป้า ซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า คอนติเนนทอล ไทร์ส ก็พร้อมนำเสนอโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในทุกมิติ นอกจากนี้เรายังเป็นผู้ผลิตยางให้กับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ อันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก คือ Tesla, BMW, Volkswagen, BYD และ Geely เป็นต้น โดยเรามียางมาตรฐานพรีเมียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดดเด่นด้วยนวัตกรรมพิเศษที่ผู้ขับขี่รถยนต์มองหาอย่าง ContiSeal ที่จะช่วยอุดรอยรั่วได้ทันทีตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มียางอะไหล่ติดตั้งมาในตัวรถ และเทคโนโลยี ContiSilent ที่ติดตั้งโฟมดูดซับเสียงภายในยาง ช่วยลดเสียงรบกวนจากพื้นถนน เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเสียงเครื่องยนต์ ให้การขับขี่และการโดยสารเงียบสงบกว่าที่เคย สามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลขึ้นกว่าเดิมด้วยอัตราการต้านทานการหมุนที่ต่ำ ซึ่งนอกจากความโดดเด่นด้านนวัตกรรมยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า คอนติเนนทอล ไทร์ส ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ยางสำหรับยานยนต์ทุกประเภท สามารถสนองต่อความต้องการของแบรนด์รถยนต์ยุโรปและเอเชีย ครอบคลุมหลากหลายเซกเมนต์ ทั้งรถกระบะ รถบรรทุก ไปจนถึงรถจักรยานยนต์

นอกจากนี้ คอนติเนนทอล ไทร์ส ยังมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมยางรถยนต์ให้มีสมรรถนะสูงเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก เรายังมีการจัดโครงการต่างๆมากมายที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของเรา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของเราในการเป็นส่วนหนึ่งของการก้าวสู่ยุคใหม่แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างยั่งยืน” มร.คาเรล กล่าวเสริม

มร. วิกเนซ เดวาเสนาพาที ผู้จัดการโรงงาน คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวเสริมทัพในการสร้างความเชื่อมั่นด้านการผลิตยางรถยนต์ว่า ปีนี้ เราได้ก้าวสู่ปีที่ ของการก่อตั้งโรงงานยางคอนติเนนทอล ในประเทศไทย ที่จังหวัดระยอง ที่มีความทันสมัยที่สุดและเป็นหนึ่งในฐานการผลิตใหญ่ของคอนติเนนทอลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่การเป็นผู้นำเสนอนวัตกรรมยางรถยนต์ที่มีความโดดเด่นด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยภายในปี 2573 เราตั้งเป้าว่าจะก้าวขึ้นเป็นโรงงานผลิตยางที่มีความโดดเด่นที่สุดทางด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและโซลูชั่นที่ยั่งยืนครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิตควบคู่ไปกับการยกระดับความยั่งยืนภายในกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องไปกับนโยบายด้านความยั่งยืนของคอนติเนนทอลในระดับโลก โดยการขยายโรงงานที่จังหวัดระยอง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแผนการลงทุนของธุรกิจยางคอนติเนนทอล เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตให้พร้อมรองรับกับความต้องการของตลาดยาง ในขณะที่ยังยึดมั่นในการบริหารจัดการกระบวนการผลิตด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและความอย่างยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในเทคโนโลยีที่มีความล้ำสมัย ก็ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการผลิตยางคุณภาพสูงของคอนติเนนทัล ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมั่นใจ

การจัดงานโชว์เคสในครั้งนี้ คือการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าคอนติเนนทอล เราเป็นมากกว่าผู้ผลิตเทคโนโลยีสำหรับยานยนต์และยางรถยนต์ แต่เราคือผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ที่ยึดถือความปลอดภัยและความยั่งยืนในทุกๆ สิ่งที่เราทำ” 

มร.ปีเตอร์ กล่าวทิ้งท้าย

คอนติเนนทอล ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2414  พัฒนาเทคโนโลยีและบริการสำหรับยานยนต์ที่มีการเชื่อมต่อให้กับผู้คนทั่วโลก โดยนำนวัตกรรมยานยนต์ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และราคาสมเหตุสมผลให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร ตลอดจนการขนส่ง ในปี พ.ศ. 2565 คอนติเนนทอลมียอดขายสูง 39.4 พันล้านยูโร และมีพนักงานกว่า 200,000 คนใน 57 ประเทศทั่วโลก 

โครงสร้างของคอนติเนนทอล ประกอบด้วยธุรกิจ 3 ภาคส่วน ภายใต้หลังคาเดียวกัน ได้แก่ 

  1. กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีด้านยานยนต์ มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ครอบคลุมในหลากหลายด้าน พร้อมนำเสนอนวัตกรรมสำหรับการช่วยเหลือการขับขี่ และการขับขี่แบบอัตโนมัติ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้การขับขี่ปราศจากความเครียดเท่านั้น แต่ยังมอบประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้ใช้งานทุกคน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโลกที่ปราศจากอุบัติเหตุจราจร (Vision Zero) 
  2. กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์ นำเสนอยางสมรรถนะสูงสำหรับรถยนต์ รถบรรทุก และรถจักรยานยนต์ โดยใช้ความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการวิจัย การพัฒนา และการทดสอบยางประเภทต่าง ๆ รวมถึงการนำเสนอยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ราบรื่นและปลอดภัยในทุกช่วงเวลา 
  3. กลุ่มธุรกิจคอนติเทค (กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางทางเทคนิคและการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติก) นำเสนอเทคโนโลยีและโซลูชันที่สามารถนำไปใช้ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมหนัก เช่น ระบบสายพานลำเลียงและเคลื่อนย้ายสิ่งของ (Conveyor System) โดยในประเทศไทย กลุ่มธุรกิจคอนติเทคมีหน่วยธุรกิจย่อยที่เรียกว่า Surface Solutions มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมในรูปแบบส่วนประกอบของยานยนต์ อาทิ เบาะ แผงประตู คอนโซล เป็นต้น

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีด้านยานยนต์

คอนติเนนทอล ได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการขับขี่แห่งอนาคต ด้วยการใช้เทคโนโลยีการขับขี่แบบไร้รอยต่อ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูง ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 

  1. การขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Mobility) นำเสนอเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่ใช้กล้อง เรดาห์ และเซนเซอร์ต่าง ๆ เข้าช่วยเหลือผู้ขับขี่ ดังนี้
  • ชุดควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ (Assisted & Automated Driving Control Unit: ADCU) ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง (Highly Automated Driving: HAD) โดยใช้การประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ระบบนี้รองรับการปรับใช้ได้หลากหลายระดับ ตั้งแต่การช่วยเหลือผู้ขับขี่ จนถึงการขับขี่แบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยและความเสถียรในการใช้งาน พร้อมยกระดับการขับขี่บนท้องถนนผ่านเทคโนโลยีอันทันสมัย
  • Advanced Radar Sensor ARS 640 เป็นระบบเรดาร์ล้ำสมัยจากคอนติเนนทอลที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ช่วยในการลดอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่โดยใช้เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ขั้นสูง พร้อมรองรับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ระบบเรดาร์นี้มีความสามารถในการตรวจจับได้ถึงระยะไกลกว่า 300 เมตร ทำงานบนคลื่นความถี่ 77 GHz สามารถตรวจจับวัตถุได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำในทุกสภาพอากาศ
  • Continental และ Aurora Innovation ได้ประกาศถึงความสำเร็จครั้งสำคัญในการส่งมอบ Aurora Driver ซึ่งเป็นระบบรถบรรทุกขับขี่อัตโนมัติเชิงพาณิชย์ โดยระบบนี้ใช้การบูรณาการระหว่างฮาร์ดแวร์จากคอนติเนนทอล และซอฟต์แวร์จาก Aurora ซึ่งร่วมกันออกแบบ พัฒนา ตรวจสอบ ส่งมอบ และให้บริการระบบอัตโนมัติที่ปรับขนาดได้สำหรับอุตสาหกรรมการบรรทุก ความร่วมมือระหว่างสองบริษัทเน้นไปที่การสร้างระบบขับขี่ที่ปลอดภัยและมีความแม่นยำในทุกสภาวะ โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการตรวจจับและประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ คาดว่าระบบดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ภายในปี 2027 เพื่อขับเคลื่อนอนาคตของยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับอุตสาหกรรม
  • การจอดรถอัตโนมัติ (Auto Parking) เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้การจอดรถเป็นไปอย่างง่ายดาย ปลอดภัย และช่วยลดความเครียดในการหาที่จอดรถ ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อรองรับการจอดรถทุกสถานการณ์ ทั้งในพื้นที่แคบ บนทางโค้ง และช่องคู่ขนาน นอกจากนี้ ยังใช้กล้องที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์และระบบอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถนำรถเข้าจอดได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องกังวลถึงความซับซ้อนของพื้นที่หรือสิ่งกีดขวาง เทคโนโลยีนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยลดการจราจรติดขัด และเพิ่มความสะดวกสบายในการจอดรถ รวมถึงการพัฒนาระบบจอดอัตโนมัติระยะไกล โดยสามารถควบคุมการจอดผ่านสมาร์ทโฟนได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ที่สัญจรโดยรอบ ด้วยการใช้ระบบช่วยจอดที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น
  1. ความปลอดภัยและการขับเคลื่อน (Safety and Motion)
  • หลังการเสนอร่างกฎข้อบังคับด้านการปล่อยมลพิษ ยูโร 7 (EURO 7) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม ปี 2025 โดยมีขอบเขตครอบคลุมตั้งแต่ยานพาหนะที่ใช้ในอุตสาหกรรมเบา รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไปจนถึงรถบรรทุกขนาดใหญ่ และยังรวมไปถึงกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า ที่แม้ไม่มีการปล่อยไอเสียจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ แต่มาตรฐาน EURO 7 กำหนดให้รถยนต์นั่งไฟฟ้าส่วนบุคคลต้องลดมลพิษ หรือฝุ่นผงที่เกิดจากการเบรค คอนติเนนทอล จึงได้นำเสนอ Green Caliper ซึ่งเป็นคาลิปเปอร์เบรกที่คอนติเนนทอลได้พัฒนาขึ้นมาจากการวิเคราะห์ระบบเบรกในรถยนต์ สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2 กรัม ต่อกิโลเมตร สำหรับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป และช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

Green Caliper มีจุดเด่นคือ การออกแบบที่มีน้ำหนักเบา เมื่อติดตั้งร่วมกับดิสก์เบรก จะช่วยลดน้ำหนักได้สูงสุดถึง 5 กิโลกรัม (แล้วแต่กรณี) และช่วยลดแรงเสียดทานระหว่างผ้าเบรกและดิสก์ให้น้อยกว่า 0.2 ฟุตปอนด์ ทำให้ประหยัดพลังงาน ทั้งยังลดการสึกหรอของผ้าเบรก และจัดการความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกดียิ่งขึ้น และสามารถลดความเร็วได้สูงสุดประมาณ 0.3 ของแรง g (g-forces) พร้อมส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้งาน และรองรับเทคโนโลยีการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่

  1. สถาปัตยกรรมและการเชื่อมต่อโครงข่าย (Architecture and Networking)
  • คอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (Smart Cockpit High-Performance Computer: HPC) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโซลูชันสำคัญในการรวมชิ้นส่วนของระบบควบคุมต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้การควบคุมเพียงหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็น การทำงานของระบบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ระบบอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัย ระบบอินโฟเทนเมนต์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) เพื่อลดความซับซ้อนภายในตัวรถ ช่วยให้การสื่อสารของระบบต่าง ๆ ทำได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทำงานของรถยนต์ได้สะดวกสบายมากขึ้น

Smart Cockpit HPC เป็นโซลูชันที่ถูกกำหนดค่าไว้ล่วงหน้า แต่ยังสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามความต้องการของผู้ขับขี่ โดยนำเสนอการตอบสนองระหว่างใช้งานอย่างรวดเร็ว มอบอินเทอร์เฟซผู้ใช้งานที่ราบรื่น แม้จะเป็นการทำงานของฟังก์ชันแบบข้ามโดเมนก็ตาม 

นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังได้ร่วมมือกับ Telechips ในการพัฒนา Smart Cockpit HPC ซึ่งมีการใช้โปรเซสเซอร์ที่ทรงพลังจากตระกูล Dolphin เพื่อการเปิดตัวสู่ตลาดที่รวดเร็วยิ่งขึ้นและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ล้ำสมัย โดย Dolphin System on Chip (SoC) ช่วยให้สามารถลดขั้นตอนในการพัฒนาและต้นทุนสำหรับผู้ผลิตยานยนต์ ขณะเดียวกันก็นำเสนออีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญสำหรับยานพาหนะที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ SDV โดย Smart Cockpit HPC ได้รับการออกแบบสำหรับการตั้งค่าห้องผู้ขับพร้อมคนขับและจอแสดงผลส่วนกลาง รวมถึงระบบช่วยเหลือด้วยกล้องสูงสุดถึง 5 ตัว พร้อมรองรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง 

  1. การเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) มุ่งเน้นการพัฒนาประสบการณ์การขับขี่ที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานด้วยเทคโนโลยีที่หลากหลาย อาทิ ระบบควบคุมการสัมผัสบนหน้าจอ และการแสดงผลข้อมูลที่ชัดเจน ทั้งยังมีระบบการเชื่อมต่อที่ช่วยให้รถยนต์สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในรถอย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการเดินทาง
  2. Software and Central Technology (SCT) มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์อัจฉริยะ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการใช้ซอฟต์แวร์ให้เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมในอนาคต โดยมีการคิดค้น พัฒนา และสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน รวมถึงการยกระดับความสะดวกสบายในการขับเคลื่อนด้วยความพร้อมในความเชี่ยวชาญ กระบวนการ และเครื่องมือต่าง ๆ ผ่านโมดูลซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่างเป็นมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

กลุ่มธุรกิจยางรถยนต์

คอนติเนนทอล เป็นแบรนด์ยางรถยนต์ที่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 และเป็นที่รู้จักในฐานะยางเยอรมันที่มีคุณภาพสูงสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูงและรถยุโรป ปัจจุบัน คอนติเนนทอลได้มีการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ยางให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ยางสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ และรถเอสยูวี จากทุกสัญชาติ ทั้งเยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน มาพร้อมขนาดยางที่มีให้เลือกตั้งแต่ไซส์ 15 นิ้ว เป็นต้นไป พร้อมตอบโจทย์การเป็นยางระดับพรีเมียมสำหรับรถยนต์ทุกประเภท

เมื่อต้นปี พ.ศ. 2567 คอนติเนนทอล ไทร์ส ประเทศไทย ได้นำเสนอยางรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด 2 รุ่น ได้แก่ MaxContact MC7 ยางที่ตอบโจทย์รถยนต์สายสปอร์ต และ eContact ยางสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ

MaxContact MC7

ยางรถยนต์ที่ชูนวัตกรรม Sport+ Technology ในกลุ่มยางสปอร์ตสมรรถนะสูง ดีไซน์มาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนเอเชียที่มองหาการขับขี่ที่เร้าใจโดยเฉพาะ พร้อมเปลี่ยนการขับขี่ประจำวันให้สนุกไปอีกขั้น โดยมอบความพิเศษถึง 3 ด้าน ได้แก่

  • การยึดเกาะอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมการบังคับเลี้ยวแบบมีเสถียรภาพ
  • การมอบระยะเบรกที่สั้นขึ้น ทำให้สามารถขับขี่อย่างปลอดภัยและมั่นใจในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนท้องถนนหรือบนสนามแข่ง โดยสามารถขับขี่ได้ทั้งบนพื้นถนนแห้งและเปียก
  • การให้เสียงรบกวนที่ต่ำภายในห้องโดยสาร ทำให้ไม่เกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่

มาพร้อมระบบเทคโนโลยีภายในยาง 3 ระบบ ดังนี้

  1. MAXimum Control
  • เทคโนโลยี Cornering Macro-blocks ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับถนนได้กว้างขึ้น พร้อมกระจายแรงกดไปยังส่วนอื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและทำให้รถมีความเสถียรยิ่งขึ้น ผสานการทำงานกับเทคโนโลยี Stabilizer Bar ที่จะช่วยยึด Macro blocks ไว้อย่างแน่นหนา เพื่อให้สามารถทนต่อแรงกดดันเพิ่มเติมได้ พร้อมมอบความแม่นยำขณะเข้าโค้งบนพื้นถนนแห้งในทุกเส้นทาง
  • เทคโนโลยี ReFlex Compound ที่ได้รับการพัฒนาสูงสุด ส่งผลให้มีความต้านทานต่อการเสียรูปของยางสูงขึ้น รวมถึงการตอบสนองและความแม่นยำของพวงมาลัยที่ดีขึ้น มอบการยึดเกาะอย่างเต็มประสิทธิภาพ และให้การควบคุมที่สม่ำเสมอยิ่งขึ้น
  1. Shorter Braking Distance
  • การควบคุมการเบรกที่ยอดเยี่ยมบนพื้นถนนเปียก ประกอบด้วยการทำงานผสานกันของ 2 ระบบ ได้แก่ ระบบ Star & Lightning sipes ร่วมกับ Aquasipes ช่วยในการตัดผ่านฟิล์มน้ำจากหลายมุมและหลายทิศทาง เพื่อให้น้ำระบายออกจากร่องยางได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สูญเสียการยึดเกาะบนพื้นถนน และระบบ Aquasipes ร่วมกับ Noise Breaker 3.0 with Flow X-celerator ช่วยเร่งการไหลของน้ำผ่านร่องยาง เพื่อให้การขับขี่มีความเสถียรสูงสุดในสภาพถนนเปียกขณะเร่งความเร็วเข้าโค้ง และขณะเบรกกะทันหัน
  • การควบคุมการเบรกที่สั้นลงบนพื้นถนนแห้งและเปียก ด้วย ReFlex Compound ช่วยเพิ่มการเปลี่ยนพลังงานจลน์เป็นความร้อนในระดับที่เหมาะสม มาพร้อมเทคโนโลยีโพลีเมอร์แบบใหม่ที่จำกัดการเคลื่อนที่ของโซ่โพลีเมอร์ ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานและการกระจายตัวลดลง ในระหว่างการเบรก พลังงานจะถูกแปลงเป็นความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีฮิสเทรีซิสสูงขึ้น ส่งผลให้ระยะเบรกสั้นลง
  1. Sporty Silent 
  • เทคโนโลยี Noise Breaker 3.0 ช่วยกระจายคลื่นเสียงออกเป็นความถี่เล็ก ๆ เพื่อป้องกันเสียงรบกวนไม่ให้สะสมและเดินทางเข้าไปในห้องโดยสาร มอบการขับขี่ที่เงียบสงบกว่าที่เคย

MaxContact MC7 วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 4,000 – 13,000 บาท/เส้น ตามขนาดขอบ 16 - 20 นิ้ว

eContact 

ยางรถยนต์รุ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ มอบการขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบสงบกว่าที่เคย ผสานความปลอดภัยอย่างเต็มพิกัดในการขับขี่และการโดยสาร ด้วยประสิทธิภาพการควบคุมและการเบรกที่ยอดเยี่ยม ทั้งบนพื้นถนนแห้งและเปียก พร้อมมอบทุกการเดินทางเป็นให้ไปอย่างรื่นรมย์ โดยผสานความโดดเด่นทั้ง 2 เทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน ดังนี้

  1. เทคโนโลยี ContiSeal สารพิเศษที่เหนียวและหนืดภายในยาง จะเข้าอุดรอยรั่วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 5 มม. ได้ถึง 80% โดยอัตโนมัติ พร้อมช่วยดักจับอากาศไว้ภายใน ทำให้ลมยางคงที่ สามารถเดินทางได้อย่างต่อเนื่องแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้ายุคปัจจุบันที่ไม่มียางอะไหล่ติดตั้งมา พร้อมยกระดับความปลอดภัยในการขับขี่และการโดยสารอย่างเต็มรูปแบบ
  2. เทคโนโลยี ContiSilent โดยมีการติดตั้งตัวดูดซับยางด้านในที่ทำจากโพลียูรีเทนโฟม ซึ่งติดอยู่กับพื้นผิวด้านในของดอกยางเพื่อกันกระแทกกับพื้นถนน สามารถป้องกันการสั่นสะเทือนของยางไม่ให้ส่งผ่านล้อเข้าสู่ภายในตัวรถ ช่วยลดเสียงรบกวนจากพื้นถนนและเสียงล้อได้ถึง 9 dB(A) โดยเทคโนโลยีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการขับขี่ ระยะทาง การบรรทุก หรือความเร็วของรถยนต์ เนื่องจากส่วนประกอบอื่น ๆ ของยางยังคงเหมือนเดิม จึงไม่มีความแตกต่างกันในแง่ของคุณสมบัติด้านสมรรถนะ พร้อมให้การเดินทางที่เงียบสงบและเพลิดเพลินในทุกโมเมนต์

นอกจากนี้ ยางรถยนต์ eContact ยังโดดเด่นในการลดการใช้พลังงานด้วยส่วนผสม Green Chili 2.0 และรูปแบบดอกยางที่ออกแบบมาพิเศษ ช่วยเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ในรถยนต์ไฟฟ้า ให้สามารถขับขี่ได้ระยะทางที่ไกลขึ้นกว่าเดิมด้วยอัตราการต้านทานการหมุนที่ต่ำ พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงในรถยนต์ไฮบริดให้เดินทางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แม้จะเน้นที่ประสิทธิภาพในการขับขี่ แต่ยางรุ่น eContact ก็ยังให้การยึดเกาะและการเบรกที่ดีเยี่ยมในสภาพถนนเปียก ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยบนท้องถนนแม้ในขณะฝนตก พร้อมมอบการควบคุมและการตอบสนองที่ดีในสภาพถนนแห้ง สำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน ให้ทุก ๆ วันเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย 

eContact วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 6,000 – 16,000 บาท/เส้น ตามขนาดขอบ 17 - 20 นิ้ว

แนวคิดด้านความยั่งยืนในการผลิตยางรถยนต์ของคอนติเนนทอล 

นอกจากการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านยางรถยนต์ให้ครบคลุมทุกเซกเมนต์แล้ว อีกหนึ่งหัวใจหลักของการดำเนินงานของคอนติเนนทอลคือ เป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยคอนติเนนทอลได้ประกาศความมุ่งมั่นด้านการใช้วัสดุหมุนเวียนและวัสดุรีไซเคิลให้ได้มากกว่า 40% ในยางรถยนต์ทั้งหมด ภายในปี พ.ศ. 2573 

เริ่มต้นจากช่วงต้นปี พ.ศ. 2564 คอนติเนนทอล เริ่มผลิตยางรถยนต์ด้วยแนวคิด Conti GreenConcept ที่ใช้วัตถุดิบจากการรีไซเคิลและวัตถุดิบทดแทน ทั้งจากการใช้ซิลิกาชีวภาพจากของเหลือทิ้งทางการเกษตร การพัฒนาโพลีเอสเตอร์จากขวด PET รีไซเคิล และวัตถุดิบหมุนเวียนรีไซเคิลอื่น ๆ โดยคอนติเนนทอลได้นำแนวคิดเหล่านี้สู่ยางรถยนต์ซีรีส์ UltraContact NXT ได้สำเร็จ นับเป็นก้าวสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดของคอนติเนนทอล

UltraContact NXT

ยางรถยนต์ที่สะท้อนแนวคิดด้านความยั่งยืนของคอนติเนนทอลได้อย่างดีที่สุด และถือเป็นยางรุ่นแรกของโลกที่ผลิตจากวัสดุหมุนเวียน โดย 65% ของส่วนผสมใน UltraContact NXT มาจากวัสดุหมุนเวียน วัสดุรีไซเคิล และวัสดุที่ผ่านการรับรองเครื่องชั่งมวล ISCC PLUS 

นอกจาก UltraContact NXT จะมีส่วนสำคัญในการเริ่มต้นขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนของคอนติเนนทอลแล้ว ยังมอบประสิทธิภาพการขับขี่อย่างเต็มสมรรถนะเช่นเดียวกับรุ่นอื่น ๆ ทั้งในด้านแรงต้านการหมุน การเบรกบนพื้นเปียก และการลดเสียงรบกวนจากภายนอก เป็นต้น

นอกจากนี้ UltraContact NXT ยังประสบความสำเร็จในด้านการออกแบบ โดยได้รับรางวัลการออกแบบระดับนานาชาติ ในงาน IDA International Design Award 2023 ในสาขาอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์และการขนส่ง/รถยนต์ 

โรงงานผลิตยางรถยนต์คอนติเนนทอล จังหวัดระยอง

จากแผนยุทธศาสตร์ด้านการเติบโตของบริษัท คอนติเนนทอลได้ก่อสร้างโรงงานผลิตยางรถยนต์ในจังหวัดระยอง ด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 276 ล้านยูโร หรือกว่า 11,000 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2560 โรงงานแห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างอันโดดเด่นทางด้านความเป็นเลิศในกระบวนการผลิต โดยเติบโตอย่างรวดเร็วหลังจากเริ่มเดินเครื่องการผลิต และส่งมอบยางเส้นแรกให้กับลูกค้าชั้นนำระดับโลก ที่เจาะจงเลือกใช้ยางคอนติเนนทอลให้เป็นยางสำหรับรถยนต์ที่ออกจากโรงงาน หรือที่เรียกกันว่ายาง OE (Original Equipment) ได้สำเร็จในปี 2562 หรือเพียงสองปีหลังจากการก่อตั้งโรงงาน

ปัจจุบัน โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตสูงถึง 4 ล้านเส้นต่อปี โดยมีการผลิตยางคุณภาพสูงสำหรับรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็ก ภายใต้แบรนด์ Continental, General Tire, และ Viking ซึ่งนับว่าเป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุด และเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่ของคอนติเนนทอล เพื่อผลิตยางสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก ตลอดจนรถจักรยานยนต์ ทั้งยังมีส่วนส่งเสริมการจ้างงานกว่า 900 ตำแหน่ง โรงงานแห่งนี้ กำลังก้าวขึ้นเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของคอนติเนนทอลในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมทั้งมีส่วนในการยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนนแก่ผู้ขับขี่และผู้ใช้งาน ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากเยอรมั

เดินหน้าสู่อนาคต ด้วยการยกระดับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการขับขี่

โรงงานยางที่ระยอง ยังได้เริ่มการผลิตนวัตกรรมยางรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง “MaxContact MC7” ถือเป็นยางสปอร์ตระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนการขับขี่ประจำวันให้มีความสนุกยิ่งขึ้น ทั้งยังมอบความปลอดภัยสูงสุดอย่างเต็มประสิทธิภาพ และตอกย้ำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในรถยนต์ไฟฟ้า

ย้อนไปในปี 2566 ที่ผ่านมา คอนติเนนทอล ได้ส่งมอบยางแก่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำที่มียอดผลิตสูงสุดห้าอันดับแรกในภูมิภาคเอเชีย มาพร้อมเทคโนโลยีพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดี โดยนวัตกรรมเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งด้านความเชี่ยวชาญของยางคอนติเนนทอลสำหรับทั้งรถยนต์สันดาปทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น ContiSeal เทคโนโลยีที่จะช่วยอุดรอยรั่วได้ทันที ลดการใช้ยางอะไหล่ และ ContiSilent เทคโนโลยีที่สามารถลดเสียงรบกวนเพื่อการขับขี่ที่เงียบสงบ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ปราศจากเสียงเครื่องยนต์

โรงงานแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางวิศวกรรมชั้นนำของเยอรมนีมาสู่เมืองไทยเท่านั้น แต่ยังถูกสร้างขึ้นด้วยมาตรฐานและประสิทธิภาพอันสูงสุด ในระดับเดียวกันกับโรงงานผลิตยางรถยนต์คอนติเนนทอลทั่วโลก ด้วยพนักงานกว่า 900 คน ที่พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ทั้งอุปกรณ์ดั้งเดิมและอุปกรณ์เสริม ให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรในทุกภาคส่วน อีกทั้งเครื่องจักรในโรงงานยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน พร้อมกระบวนการโลจิสติกส์แบบอัตโนมัติระดับสูง ที่ช่วยให้พนักงานทุกคนได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ลงตัวตามหลักสรีระศาสตร์ ทำให้โรงงานแห่งนี้คว้ารางวัล "สถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ประจำปี 2567" ตอกย้ำความเป็นโรงงานต้นแบบแห่งความยั่งยืนในอนาคต

นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังได้จัดพิธีตั้งเสาเข็มเพื่อฉลองการเริ่มต้นก่อสร้างโครงการขยายโรงงานผลิตยางรถยนต์ ในจังหวัดระยอง โดยโครงการลงทุนในครั้งนี้จะขยายพื้นที่การผลิตของโรงงานในปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีก 35,000 ตารางเมตร รวมทั้งเพิ่มกำลังการผลิตยางรถยนต์ที่นั่งส่วนบุคคล และรถบรรทุกขนาดเล็กภายในปี 2572 เพื่อให้คอนติเนนทอลสามารถตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย รวมถึงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา

นอกจากโรงงานผลิตยางที่จังหวัดระยองแล้ว ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 คอนติเนนทอลได้ขยายการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางมอเตอร์ไซค์แห่งใหม่ในจังหวัดระยอง มูลค่าการลงทุนกว่า 26 ล้านยูโร โดยตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานผลิตยางรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็ก เพื่อเป้าหมายในการสนับสนุนการผลิต และเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยางให้แก่ลูกค้าทั่วโลกอย่างดียิ่งขึ้น โรงงานผลิตยางมอเตอร์ไซค์แห่งใหม่นี้ นับว่าเป็นโรงงานผลิตยางมอเตอร์ไซค์แห่งที่สองของคอนติเนนทอลที่ก่อตั้งนอกประเทศเยอรมนี โดยเริ่มผลิตในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 และส่งมอบยางให้กับลูกค้าครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565

มุ่งมั่นตอบแทนทุกภาคส่วนด้วยนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก

โครงการริเริ่มด้านการประหยัดพลังงานของคอนติเนนทอล ถูกนำมาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงานยางที่จังหวัดระยอง โดยในปี 2566 โรงงานแห่งนี้ได้ขยายกําลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เป็น 4.2 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกําลังการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์เพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน แผงโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งอยู่ในโรงงานสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทั้งหมด 13% ของไฟฟ้าที่จําเป็นในกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ คอนติเนนทอลยังสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น โครงการด้านความปลอดภัย ด้านสุขภาพ ด้านคุณภาพชีวิต และการศึกษา เช่น การปลูกต้นไม้ การปรับปรุงสนามเด็กเล่นในโรงเรียน การสร้างความตระหนักรู้ การให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัย การแยกขยะ และเรื่องสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน สำหรับโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดระยอง

อ่านข่าวต้นฉบับ:

อมรินทร์ทีวี ทันข่าวได้ที่

เว็บไซต์:www.amarintv.com

เรื่องธุรกิจที่ :ติดตาม SPOTLIGHT มองขาดทุกโอกาสธุรกิจ

2024-09-18T09:38:10Z dg43tfdfdgfd