สภาถกญัตติด่วน บัสไฟไหม้ รุมบี้ขนส่งเข้มตรวจสภาพรถ ไม่ใช่แค่ขายลายเซ็นแล้วจบ

สภาเห็นพ้องญัตติด่วนโศกนาฏกรรมบัสไฟไหม้ พร้อมใจไม่ให้ยกเลิกทัศนศึกษา ชี้เป็นการเปิดโลกกว้างของเด็ก แต่ต้องแก้ปัญหาระบบขนส่ง ด้าน ‘วิโรจน์’ ถาม ‘กรมขนส่งทางบก’ ตรวจสภาพรถหรือขายลายเซ็นกันแน่ ขณะที่ ‘ชวน’ บอกไม่มีใครทันรถคันนี้ อายุ 54 ปี นอกจากตัวเอง นับว่าเก่งยังใช้งานได้แต่ไม่มั่นใจคุณภาพ จี้ เข้มงวดกฎระเบียบไม่ใช่จ่ายเงินแล้วจบ แนะอย่าหนี้ปัญหาใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นป้องกันเกิดซ้ำ

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุม วาระการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา ศึกษาแนวทางเสนอข้อคิดเห็นและยกระดับมาตรฐานในการป้องกันการเกิดเหตุ กรณีรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้ เพื่อส่งให้รัฐบาลนำไปพิจารณา

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า เสนอให้รถที่ใช้สำหรับการขนส่งนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการทัศนศึกษา หรือเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบสภาพรถ และพนักงานขับรถให้มีความพร้อมมากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ที่ปลอดภัยกว่าการใช้ก๊าซ รวมถึงคนขับรถต้องมีความรับผิดชอบที่ดี มีมาตรการควบคุมมาตรฐานของคนขับรถทัศนศึกษา เช่นเดียวกับนักบินที่จะต้องดูแลชีวิตผู้โดยสารบนเครื่องบินทั้งลำ มีการให้ความรู้ในการเอาตัวรอดหากเกิดเหตุฉุกเฉินเหมือนบนเครื่องบิน และขอเสนอให้มีการออกกฎหมายครอบคลุมไปถึงเจ้าของรถ จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อไม่ให้เจ้าของรถละเลยการดูแลคุณภาพและสมรรถนะของรถ รวมไปถึงผู้ประกอบการขนส่งที่จะต้องมีความรู้ และเข้าใจกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น และจะต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าปกติหากต้องใช้ทัศนศึกษาเด็กนักเรียน รวมถึงครูที่ไปกับคณะทัศนศึกษา ต้องมีสติ รู้จักการแก้ไขปัญหา หรือรับมือกับสถานการณ์อุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และสถานศึกษาจะต้องพิจารณาจัดการทัศนศึกษาหากมีเด็กเล็ก ควรกำหนดระยะทาง และต้องมีการตรวจสอบคุณภาพของรถและพนักงานขับรถด้วย หากไม่พร้อมก็ควรยกเลิกการทัศนศึกษาไปก่อน

ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า การทัศนศึกษาเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ดังนั้นทัศนศึกษาจึงไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นปัญหาในการจัดการความปลอดภัยของยานพาหนะหรือรถบัส ซึ่งการดูแลเยียวยาทั้งกายและใจของผู้ประสบเหตุ รวมถึงครอบครัวผู้สูญเสีย นับจากนี้รัฐบาลคงต้องดูแลให้มีความครบถ้วนและรวดเร็วไม่ตกหล่น และจากการฟังแถลงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็เข้าใจว่าท่านก็เร่งรัดอยู่แล้ว

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า การขนส่งสาธารณะของคนหมู่มาก หากยังปล่อยปละละเลย ก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก อย่างประกาศของกรมขนส่งทางบก เรื่องการติดตั้งก๊าซ CNG ซึ่งกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกตั้งข้อสังเกตจากวิศวกรทั่วประเทศว่า รถคันที่เกิดเหตุได้ติดตั้งก๊าซ CNG เพียงแค่รถบัสคันดังกล่าวเฉี่ยวชนกับขอบท จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นกระทรวงคมนาคม จะต้องตรวจสอบต่อไป เพราะรถคันดังกล่าว จดทะเบียนตั้งแต่ปี 2513 มีอายุมากกว่า 54 ปี อายุมากกว่าตนอีก และยังมีการต่อเติมดัดแปลงมาขนส่งรับผู้โดยสาร ตามข่าวเบื้องต้น ยังไม่มีการจดทะเบียนการใช้ก๊าซ CNG ด้วย ซึ่งไม่ทราบว่าการตรวจสภาพรถประจำปี ผ่านการตรวจสอบมาได้อย่างไร ดังนั้น รมว.คมนาคม จะต้องขันน็อต ด้วยการเรียกรถสาธารณะที่ขนส่งโดยสารคนจำนวนมาก และติดก๊าซ CNG มาตรวจสอบสภาพใหม่ทั้งหมด เพื่อยืนยันความปลอดภัย เรื่องนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการตรวจสภาพหรือขายลายเซ็นกันแน่ เท่ากับประเทศนี้กำลังมีลูกระเบิดวิ่งอยู่บนท้องถนนทุกวัน

“ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีคำครหาจากสังคมว่ากรมการขนส่งทางบก เป็นแดนสนธยาที่เรียกรับผลประโยชน์มหาศาล ว่ากันว่าการตรวจสภาพเป็นการขายลายเซ็น ตรวจจริงหรือไม่ก็ไม่รู้ หรือตรวจแบบขอไปที” นายวิโรจน์กล่าว

ขณะที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าควรยกเลิกทัศนศึกษาหรือไม่ ตนคิดว่า ทัศนศักษามีประโยชน์เปิดโลกทัศน์ของเด็กๆ แต่เด็กอนุบาลควรปรับเปลี่ยนเรื่องระยะทาง ในสมัยที่ตนเด็กๆ เวลามีทัศนศึกษาตนดีใจมาก ในวันนั้นรองเท้ายังไม่มีใส่เลย แต่พ่อแม่ก็หาข้าวหาปลาให้เราไปทัศนศึกษา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ภาคภูมิใจ และชอบมากเลยตอนเด็ก ตนคิดว่าควรดำเนินการต่อไปกล่าว และขอฝากไปถึงรมว.ศึกษาธิการ ว่าควรมีมาตรการเพิ่มเติม วันนี้เราเห็นประเทศไทยประเทศเดียวหรือไม่ที่มีรถบัส 2 ชั้น แล้วมีรูปโลโก้อะไรต่างๆมากมาย ตนเชื่อว่าถ้าตรวจจริงๆ มันผิดกฏหมายทั้งนั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องเอาจริงเอาจังได้แล้ว

ส่วน น.ส.พุธิตา ชัยอนันท์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน อภิปรายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็มีกระแสข้อเรียกร้องจากกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครอง เรื่องการยกเลิกการทัศนศึกษา ซึ่งเราจะไปโทษพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าผู้ปกครองไม่มั่นใจในความปลอดภัยของลูก เรามีข่าวให้เห็นมากมายว่าเกิดอุบัติเหตุอย่างไรบ้าง เมื่อไหร่ที่เราจะมีมาตรการจากกระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นรูปธรรมสักที ขนาดด็กเล็กๆ ยังต้องนั่งคาร์ซีทด้วยซ้ำ แต่การออกไปทัศนศึกษาดูแลอย่างไรบ้าง ตนยังไม่กล้าให้ลูกของตนนั่งรถในขณะที่ไม่ได้อยู่ในคาร์ซีทเลย จึงอยากให้มีการใส่ใจและทำให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจังได้แล้ว

ขณะที่ นายชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถือว่าเป็นกรณีที่กระทบกระเทือนมากเป็นพิเศษ เพราะเราต้องสูญเสียทรัพยากรของชาติมากที่สุดถึง 23 คน และคิดว่าขณะนี้โรงเรียนทุกแห่งเริ่มวิตกกังวล และความวิตกกังวลนั้นมีไปถึงผู้ปกครองว่าโรงเรียนจะพาเด็กไปทัศนศึกษาหรือไม่ แม่บางคนก็อาจจะไม่ให้ไป หรือโรงเรียนก็อาจจะยกเลิก ซึ่งเราต้องไม่ยกเลิกทัศนศึกษา การทัศนศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อเด็กหรือไข่ให้เขารู้จักบ้านเมืองตัวเองให้มีประสบการณ์ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะต้องยังทำต่อไปเพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้เราระมัดระวังมากขึ้นว่าวัยใดควรไปไกลแค่ไหนอย่างไร แต่ขอได้โปรดอย่าตัดสินแก้ปัญหาด้วยวิธีหนีปัญหาคือต่อไปนี้ไม่พาเด็กออกไปแล้ว เหมือนกับต้นไม้ล้มไปโดนรถเสียหาย แล้วโค้นต้นไม้ตลอดแถวทั้งถนน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ใช่แก้ปัญหา เขาเรียกว่าวิธีหนีปัญหา

ดังนั้นขอผู้ปกครองและโรงเรียนทั้งหลายได้ทำความเข้าใจอย่าหนีปัญหาเราต้องประเชิญกับปัญหา เพียงแต่เราใช้เหตุการณ์นี้เป็นวิธีการในการที่จะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นมาอีก” นายชวนกล่าว

นายชวนกล่าวต่อว่า อายุรถที่เกิดเหตุจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2513 อายุรถคันนี้มากกว่าสมาชิกส่วนใหญ่ในสภานี้และไม่เคยมีสมาชิกคนไหนมาอยู่ในสภาตอนที่จดทะเบียนใช้รถคันนี้ มีตนอยู่คนเดียว เพราะเป็นผู้แทนฯสมัยแรก นับว่าเก่งที่อายุรถ 54 ปี ยังใช้ได้ ซึ่งมองในทางดีเขาคงดูแลรักษาคุณภาพดี แต่ถ้ามองอายุรถก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นขอฝากคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องศึกษาต่อไป ว่าสภาพรถเป็นอย่างไร เพราะยานพาหนะที่ใช้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวัง ตนทราบดีว่าเรามีกฎเกณฑ์กติกาที่ดีแต่ไม่มั่นใจว่า เวลาเราตรวจคุณภาพของยานพาหนะเหล่านี้สามารถตรวจสอบได้จริงหรือไม่หรือปล่อยเลยตามเลย หรือจ่ายเงินมาแล้วไม่ต้องตรวจ จึงขอฝากกระทรวงคมนาคม เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลต่อไป และสมาคมผู้ประกอบการจะต้องหนักถึงอันตรายมากกว่าการลดต้นทุนและหากำไรเกินควร และจะต้องมีส่วนตรวจสอบว่าสมาชิกได้จัดรถเป็นไปตามคุณสมบัติที่กำหนดหรือไม่

“เราเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น หลายคนบอกว่าหวังจะเป็นเหตุการณ์ครั้งสุดท้าย แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกับครั้งนี้ หากเรายังคงมีวิธีการเหมือนเดิมไม่ยกระดับขึ้นมาเหตุการณ์ที่อาจจะรุนแรงกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ในอนาคตก็อาจจะเกิดขึ้นมาอีก ดังนั้นหน่วยงานทั้งหลายที่มีหน้าที่ดูแลกฎเกณฑ์ต้องเข้มงวดกวดขันและปฏิบัติให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ตนหวังว่าเรื่องนี้จะมีส่วนทำให้การแก้ปัญหาในอนาคตจะดีขึ้น” นายชวนกล่าว

นายชวนกล่าวต่อว่า ส.ส.บางคนบอกว่าไทยเป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งช่วงที่ตนเป็นประธานสภาฯ ก็ได้ทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตเกาหลี เนื่องจากนักกีฬาปั่นจักรยานของเขามาประสบอุบัติเหตุ ถูกรถชนเสียชีวิตที่เชียงใหม่ และยังทำหนังสือถึงเอกอัครราชทูตรัสเซียขอโทษที่เยาวชนของเขามาเสียชีวิตที่ภูเก็ตจากเรือสปีดโบ๊ทชน ซึ่งมาจากความประมาทไม่จริงจังในการรักษาระเบียบวินัย และที่ผ่านมาตนได้สนับสนุนและอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอด และคิดว่าทุกหน่วยงานให้ความเอาใจใส่ แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงกลับมีปัญหามากมาย

“จึงขอให้เอาจริงเอาจังโดยขอให้เจ้าหน้าที่นึกว่าหากเด็กเหล่านี้เป็นลูกหลานของท่าน ผมเชื่อว่าแม้จะไม่ใช่ลูกหลานก็มีความรู้สึกกระทบกระเทือนแน่นอน แต่ถ้าเป็นลูกหลานท่านจะคิดอย่างไร กรณีที่ละเลยปล่อยให้มีการใช้ยานพาหนะที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นสิ่งนี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ทำให้เกิดความระมัดระวังและดูแลให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาดีขึ้น ผมขอให้กำลังใจกับครอบครัวของนักเรียน และญาติพี่น้องที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ หวังว่าจะมีการดูแลผู้เสียชีวิตต่อไป และต้องดูแลผู้บาดเจ็บไปตลอดด้วย” นายชวนกล่าว

ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านฯ อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องประชาชนคาดหวังในตอนนี้จากผู้มีอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล คือการใช้อำนาจที่ถูกต้องที่ต้องมีทั้งความอ่อนโยนแต่เข้มแข็ง และต้องมีความยืดหยุ่นแต่เถรตรง การใช้อำนาจที่อ่อนโยนคือการแสดงความเห็นอกเห็นใจ การรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในหมู่ประชาชน มากกว่าการติติงการวิพากษ์วิจารณ์พุ่งเป้าเพื่อหวังผลทางการเมืองซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ขณะเดียวกันผู้มีอำนาจต้องมีความเข้มแข็ง กล้าใช้อำนาจที่มีเพื่อกอบกู้วิกฤต ไม่เกียร์ว่าง ดังเช่นกรณีที่เราเคยเห็นมาแล้วในวิกฤตอุทกภัยที่ผ่านมา ที่พอตัวเองใกล้เกษียณกลับไม่กล้าใช้อำนาจ เพราะกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ซึ่งประชาชนได้เห็นทั้งการแสดงออก ทั้งที่ถูกและไม่ถูกในการใช้อำนาจ

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า จากข้อเสนอของเพื่อนสมาชิกที่เสนอให้รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยเยียวยา หรือการให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นในการจัดการกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและทันท่วงที ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ซึ่งต้องขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ แต่ในขณะเดียวกันภายใต้ความยืดหยุ่นนั้น รัฐบาลต้องมีความเถรตรง กล้าเอาผิด กล้าลงโทษคนที่ปล่อยปะละเลย ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบในการรักษาความปลอดภัยจนนำมาสู่เหตุเศร้าสลดในวันนี้เช่นเดียวกัน

นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า หลายคำถามที่เกิดขึ้นตามหน้าสื่อ เช่น จำนวนถังแก๊สที่มีมากถึง 10 ถัง การตรวจเช็กสภาพรถที่ประตูฉุกเฉินด้านหลังกลับเปิดไม่ได้ จนทำให้เด็กหลายคนหนีออกมาไม่ทัน สิ่งเหล่านี้อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพื่อการควานหาคนผิด แต่เพื่อหาคนรับผิดและรับชอบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกใบอนุญาตและตรวจสภาพรถ บริษัทที่เดินรถ สถานสถานศึกษา นำมาสู่การสร้างสำนึกรับผิดชอบ เมื่อใดที่ทุกคนทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ปล่อยประละเลย เราก็ไม่ต้องใช้กลไกการรับผิดรับชอบมากอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและอาจไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหากเราไม่ไปแก้ไขที่ต้นตอ คือการบังคับใช้กฎหมายและการบังคับใช้กลไกความรับผิดรับชอบ เพื่อสร้างสำนึกรับผิดชอบกับทุกฝ่าย จากคำสั่งของรมว.ศึกษาธิการให้งดการทัศนศึกษาที่ไม่จำเป็นทันที ซึ่งตนอยากให้มาตรการนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวในขณะที่รัฐบาลยังเห็นภาพไม่ชัดเจน ว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

นายณัฐพงษ์กล่าวอีกว่า ขอเสนอมาตรการ 3 กลุ่มเพื่อเสนอรัฐบาล คือ 1.มาตรการด้านความปลอดภัยของรถโรงเรียน ตนคิดว่ารถโรงเรียนต้องเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นการโดยสารที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถฝากบุตรหลานมายังโรงเรียนด้วยความอุ่นใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรการโดยสารรถโรงเรียนย่อมปลอดภัยกว่าการปล่อยให้เด็กต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาทบทวนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน พ.ศ.2562 ตามข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเพิ่มมาตรการความปลอดภัยให้กับรถโรงเรียน เช่น การติดตั้งซีซีทีวี จีพีเอส หรือการอบรมให้ครูและบุคลากรของสถานศึกษามีความรู้ในการตรวจเช็คสภาพรถก่อนการเดินรถทุกครั้ง

2.มาตรการความปลอดภัยของรถโดยสาร ต้องขอชื่นชมรมว.คมนาคมที่ได้สั่งการไปยังกรมขนส่งทางบกให้มีการเรียกรถโดยสารสาธารณะที่มีการดัดแปลงใช้แก๊สกว่า 1.3 หมื่นคันมาตรวจสภาพซ้ำใน 60 วัน รวมถึงการระบุว่าบริษัทเดินรถต้องมีการแนะนำข้อมูลและแนะแนวทางในการเผชิญเหตุผู้โดยสารก่อนออกรถเหมือนที่สายการบินทำ

และ 3.มาตรการการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนของเด็ก กระทรวงศึกษาธิการควรส่งเสริมเหมือนที่มีกรณีการนำท้องฟ้าจำลองเคลื่อนที่ไปตั้งตามสาทนศึกษาต่างๆ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการควรส่งเสริมโครงการแบบเดียวกันนี้ขยายผลไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อลดระยะการเดินทาง และควรกำหนดระยะทางการทัศนศึกษานอกสถานที่ตามช่วงอายุของเด็ก เพราะผลการวิจัยยืนยันว่ายิ่งเด็กเล็ก ยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเดินทางในระยะทางไกลมากกว่าเด็กโต เราไม่ควรนำเหตุการณ์นี้มาปิดกั้นโอกาสของเด็กในการศึกษานอกสถานที่

จากนั้น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม แจ้งต่อที่ประชุมว่า การอภิปรายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กลับญัตติดังกล่าวจึงจะส่งให้รัฐบาล และคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่เกี่ยวข้อง 6 คณะ ไปดำเนินการต่อไป

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : สภาถกญัตติด่วน บัสไฟไหม้ รุมบี้ขนส่งเข้มตรวจสภาพรถ ไม่ใช่แค่ขายลายเซ็นแล้วจบ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.matichon.co.th

2024-10-02T12:16:24Z dg43tfdfdgfd